Website designed with the B12 website builder. Create your own website today.
Start for free
"เมื่อความเข้าใจใหม่ กำลังเรียกร้องให้เรากลับมาฟังเสียงในหัวใจตนเอง"
ในขณะที่โลกตะวันตกเริ่มเปิดประตูสู่การบำบัดแนวลึกด้วยสารไซคีเดลิกอย่าง psilocybin
โลกตะวันออกก็เริ่มสั่นสะเทือนเบา ๆ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของสาร แต่เพราะคำถามว่า
"นี่คือกระแส หรือ นี่คือโอกาส?"
ประเทศไทย — ดินแดนแห่งพุทธะ สมาธิ และการเยียวยาแบบองค์รวม — กำลังยืนอยู่ ณ จุดตัดสำคัญของยุค
ระหว่าง การยึดมั่นในสิ่งที่เคยเชื่อ กับ การเปิดใจสู่สิ่งที่ไม่เคยกล้าคิดในขณะที่โลกตะวันตกกำลังเปิดรับ “ยาแห่งจิตใจ” อย่างเปิดเผย
องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ขึ้นทะเบียน ไซโลไซบิน เป็น “Breakthrough Therapy”
คลินิกจิตบำบัดแนวลึก (Deep Psychotherapy) ผุดขึ้นราวดอกเห็ดฤดูฝน
และคำว่า Psychedelic Integration กลายเป็นศัพท์ใหม่ในพจนานุกรมของผู้แสวงหาการเยียวยา
ขณะเดียวกัน...
ที่ฝั่งตะวันออก—ในดินแดนแห่งพุทธะ โยคะ และสมุนไพรอายุรเวท
ผู้คนยังตั้งคำถามกับการ “เปิดใจ” เหล่านี้ด้วยความลังเล ความกลัว และบางครั้ง...การเสียดสีว่าเป็น "การหลงทาง"
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ นักวิจัยไทยบางกลุ่มเริ่มตื่นแล้ว
และกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่า “Psychedelic Integration”
อาจไม่ใช่กระแสของโลกตะวันตกอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่กำลังจะกลายเป็น คลื่นใหม่ ที่กระทบภูมิจิตของโลกตะวันออกด้วย
“มนุษย์ไม่ได้กลัวเห็ด... แต่มนุษย์กลัวการเผชิญหน้ากับความจริงในตัวเอง”
ในขณะที่วงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มหันมาศึกษา psychedelic ด้วยความจริงจัง
โดยมองมันในฐานะ “เครื่องมือทางจิตวิทยา” ที่ช่วยเปิดการรับรู้ภายในระดับลึก
สังคมไทยกลับยังติดอยู่กับคำถามว่า
"กินแล้วหลอนมั้ย?" หรือ "แบบนี้ผิดกฎหมายหรือเปล่า?"
ราวกับว่าสารชนิดนี้มีคุณค่าก็ต่อเมื่อใช้เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อหนีจากชีวิตที่ไม่มีความหมาย
และนี่เองที่เผยให้เห็นบางแง่มุมของ โครงสร้างทางวัฒนธรรม ที่เราควรตั้งคำถาม
ว่าทำไมบ้านเมืองที่สอนให้เราไหว้ครู แต่กลับไม่เคยสอนให้เรา “ไหว้ใจตัวเอง”
ทำไมเราเปิดพื้นที่ให้การสวดมนต์ แต่กลับกลัวการเผชิญหน้าความเศร้าในจิตใต้สำนึก
ทำไมเราเรียกภาพหลอนว่า "ของผิด" แต่กลับนิ่งเฉยกับภาพลวงที่เราบอกตัวเองทุกวันว่า "ฉันสบายดี"
Psychedelic ไม่ได้ทำให้คุณเมา
แต่ทำให้คุณ “รู้สึก” กับสิ่งที่คุณเคยพยายามหลีกเลี่ยง
หลายคนที่กลัวการใช้สารนี้ จริง ๆ แล้วไม่ได้กลัวสาร...
แต่กลัวสิ่งที่อาจปรากฏขึ้นเมื่อม่านแห่งความเคยชินถูกฉีกออก
Psychedelic Integration จึงไม่ใช่แค่การ "กินแล้วจบ"
แต่มันคือกระบวนการที่คุณต้องใช้ “หัวใจ และสติปัญญา”
เพื่อแปลสิ่งที่คุณพบเจอในจิตไร้สำนึก ให้กลายมาเป็นภาษาที่คุณสามารถอยู่กับมันได้
การเข้าใจภาพที่คุณเห็นตอน “หลุด”
การกล้าเผชิญความรู้สึกเจ็บปวดที่โผล่ขึ้นมาจากอดีต
การยอมรับว่าเราอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดมาตลอด
นั่นแหละ...คือจุดเริ่มต้นของการคืนชีวิตให้จิตใจ
ในทางวิทยาศาสตร์
การใช้สารไซโลไซบินมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า มันกระตุ้นให้เกิด neuroplasticity
หรือความสามารถของสมองในการ “เชื่อมโยงใหม่” และ “ลบล้างลูปความคิดเก่า”
โดยเฉพาะกับผู้ที่จมอยู่ในอาการซึมเศร้า หรือการคิดวนซ้ำแบบไม่รู้จบ
ในทางจิตวิทยา
ประสบการณ์ไซคีเดลิกช่วยทำให้ "ประตูสู่จิตใต้สำนึก" เปิดออก
ให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงความรู้สึกที่เคยถูกกดทับด้วยกลไกป้องกันตัวเอง
ซึ่งเป็นต้นตอของความทุกข์เรื้อรังที่การใช้ยาแบบเดิมไม่เคยแตะต้องได้เลย
ในทางปรัชญา
มันคือลมหายใจใหม่ให้กับยุคที่มนุษย์หลงลืมความหมายของการมีชีวิต
ไซคีเดลิกไม่ได้เสนอคำตอบ แต่เสนอ “คำถามใหม่” ที่ชัดกว่าเดิม
ว่าเรากำลังใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร?
เรากำลังเดินทางเพื่อเติมเต็ม...หรือเพื่อหลบหนี?
แต่ในทางวัฒนธรรมไทย
เรายังเห็นคนจำนวนไม่น้อยที่แค่ “อยากลอง” เพื่อ “หลอนดูสักครั้ง”
เหมือนการใช้ไซคีเดลิกคือบัตรเชิญไปปาร์ตี้ ไม่ใช่กระจกส่องจิต
นี่ไม่ใช่แค่การขาดข้อมูล แต่มันคือ “การขาดเจตนาที่จะเข้าใจตนเอง” อย่างแท้จริง
ในขณะที่บางประเทศเริ่มวางแผนสร้างระบบการบำบัดด้วย Psychedelic อย่างเป็นระบบ
มีจรรยาบรรณ นักบำบัด การประเมินความพร้อม การติดตามผล และการ integration
เรากลับยังเห็นผู้คนบางกลุ่มในไทยหยิบมันไปใช้เพื่ออวดอ้าง หรือแสวงหาอัตตาใหม่
ราวกับว่าการเห็นวิญญาณเป็นสัญลักษณ์ของความตื่นรู้
ทั้งที่สิ่งเดียวที่คุณควรเห็นก่อนคือ "จิตใจตัวเอง"
Psychedelic Integration คือศาสตร์ที่ต้องการความกล้า
ไม่ใช่ความกล้าที่จะกิน
แต่กล้าที่จะมองย้อนเข้าไปในใจ
กล้าที่จะถามคำถามที่ไม่มีใครตอบให้ได้ นอกจากคุณเอง
และนั่นคือเหตุผลที่ Tripsitter Thailand มีอยู่
เราไม่ชวนคุณให้หลอน
เราไม่บอกว่าคุณต้องใช้สาร
แต่เราชวนคุณมาเรียนรู้...ว่าการเข้าใจตนเองคืออะไร
และเมื่อคุณตัดสินใจเดินเข้าสู่โลกภายใน
เราพร้อมจะเดินเคียงข้างคุณ ด้วยหัวใจที่รับฟังอย่างแท้จริง
แต่พาคุณไปพบว่า “อะไร” กันแน่ที่กำลังต้องการการเยียวยา
ในโลกที่ระบบสาธารณสุขจำนวนมากกำลังวิ่งไล่ปิดเสียงความทุกข์
ด้วยยาที่ออกแบบมาเพื่อ ทำให้คุณหยุดรู้สึก
และในยุคที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเสพ "ประสบการณ์หลอน"
เพื่อเอาไว้ตั้งสเตตัส หรืออวดเพื่อนในกลุ่ม Telegram
ไซคีเดลิกไม่ใช่เครื่องมือแฟชั่น
และไม่ใช่ใบเบิกทางสู่อัตตาใหม่ที่ดูเป็น "สายตื่นรู้" แบบปลอม ๆ
มันเป็นเหมือนกระจกบานใหญ่ ที่บังคับให้คุณยืนมองตัวเอง
แบบไม่มีฟิลเตอร์ ไม่มีแอพปรับผิว ไม่มีใครมากดไลก์
และถามกลับมาว่า:
"นี่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณหรือเปล่า?"
ในขณะที่วัยรุ่นหลายคนพากันพูดถึง "การเปิดมิติ"
แต่กลับไม่มีใครกล้าเปิดใจเข้าไปดูมิติที่แท้จริงของตนเอง
เพราะอะไร?
เพราะมันไม่สวย ไม่สนุก และไม่เหมาะกับโพสต์ในไอจี
และนั่นคือสิ่งที่ไซคีเดลิกทำได้ดี
มันไม่ตามใจคุณ
แต่มันตามล่าคุณ...
ล่าความกลัว ล่าความเศร้า ล่าความจริงที่คุณซ่อนเอาไว้ใต้ความ "เฟี้ยว"
แล้ววางมันลงตรงหน้า—ชัด ๆ—เพื่อให้คุณเริ่ม เข้าใจ ไม่ใช่แค่เห็น
💡 นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า Neuroplasticity
สมองสร้างทางเชื่อมใหม่ เมื่อเราตัดสินใจไม่หนีอีกต่อไป
💭 นักจิตวิทยาเรียกมันว่า Self-awareness
เมื่อเรายอมรับว่าความคิด ความรู้สึก และความเจ็บปวดทั้งหมด…
ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง "แก้" แต่คือสิ่งที่ต้อง ฟัง
🙏 นักบวชอาจเรียกมันว่า การตื่นรู้
ไม่ใช่การรู้ลึกรู้แจ้ง แต่คือการหยุดหลอกตัวเองเสียที
🪞 และสำหรับคนธรรมดาอย่างเรา...
บางที มันคือเสียงกระซิบจากข้างในว่า
"ในที่สุด ฉันก็เริ่มเข้าใจตัวเอง...เป็นครั้งแรกในชีวิต"
แต่ความเข้าใจแบบนี้ไม่เกิดขึ้นจากการกินเห็ดเพียงครั้งเดียว
และไม่เกิดจากการนั่งดูภาพหลอนเฉย ๆ แล้วเรียกมันว่า "ทริปแห่งจักรวาล"
การเยียวยาไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่มันคือกระบวนการ
ที่เริ่มจากความจริงใจ... ที่จะมองเห็น ทุกแผล ของตนเอง
แม้บางแผลจะไม่น่าดู
แม้มันจะไม่มีเรื่องราวไวรัลให้เล่า
แต่นั่นแหละ…คือ “เนื้อแท้” ที่การบำบัดควรเป็น
❗ ถ้าคุณกำลังสนใจไซคีเดลิกเพื่อ “หนีจากตัวเอง”
มันจะทำร้ายคุณ
แต่ถ้าคุณสนใจมันเพราะ “อยากรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรกในชีวิต”
มันจะกลายเป็นครูที่ลึกซึ้งที่สุด… แม้จะโหดที่สุดก็ตาม
“ไม่ใช่แค่ว่าคุณเห็นอะไรตอนอยู่ในมิติอื่น... แต่คุณจะอยู่กับชีวิตเดิมอย่างไร หลังจากกลับมา”
ในยุคที่วิทยาศาสตร์เริ่มเปิดใจให้กับสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น “ของต้องห้าม”
ไซคีเดลิกไม่ได้ถูกพูดถึงแค่ในฐานะยาอีกต่อไป
แต่มันกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเข้าไป สำรวจโครงสร้างภายในจิตใจมนุษย์
งานวิจัยด้าน ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) แสดงให้เห็นว่า
หลังการใช้ไซโลไซบินหรือ LSD สมองจะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า “Hyperconnectivity”
เครือข่ายที่เคยแยกขาดอย่าง “Default Mode Network” ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัตตา (Ego)
จะถูกทำให้หยุดพักชั่วคราว
เปิดโอกาสให้ “เสียงอื่น” ในจิตใจได้พูดออกมา
ซึ่งมักจะเป็นเสียงของความเศร้า ความกลัว หรือแม้แต่เสียงของความรักที่ถูกลืม
และในช่วงเวลานั้นเอง
ปรัชญาชีวิต มากมายก็ถูกตั้งคำถามใหม่
เราคือใคร?
เราเชื่อในสิ่งที่เราเลือกเอง... หรือเราแค่สืบทอดกรอบจากคนก่อนหน้า?
ความสุขคืออะไร?
ความจริงคืออะไร?
ชีวิตเรามีไว้เพื่ออะไร?
🧠 ในมุมของนักวิทยาศาสตร์
นี่คือ “การเขียนโปรแกรมสมองใหม่” ด้วยพลังของ Neuroplasticity
ประสบการณ์หลอนอาจดูน่ากลัว
แต่แท้จริงคือจังหวะที่สมองเปิดรับรูปแบบความคิดใหม่
และนี่คือโอกาสทองในการฝัง “มุมมองใหม่ต่อชีวิต” เข้าไป
💭 ในมุมของนักปรัชญา
นี่คือ “กระบวนการปลดปล่อยจากมายา”
เป็นการกลับไปตั้งคำถามกับระบบที่เรายึดมั่น—เช่นเงิน ศักดิ์ศรี ความสำเร็จ—
และมองดูว่า... อะไรคือสิ่งที่ แท้จริง สำหรับเรา?
🕊️ ในมุมของนักจิตวิญญาณ
นี่คือ “การกลับบ้านของวิญญาณ”
คือการรับฟังจิตเดิมแท้ (True Self) ที่เคยถูกกลบด้วยเสียงของโลกภายนอก
คือการพบว่าเราไม่ได้บกพร่อง แต่เพียงลืมไปว่า
เราเคยรู้จักตัวเองลึกซึ้งแค่ไหนเมื่อตอนยังเป็นเด็ก
การบูรณาการจึงไม่ใช่แค่ “การเล่าเรื่องทริป”
แต่มันคือการ ประมวลผลความจริง ที่คุณได้เผชิญ แล้วแปรมันเป็น “คุณภาพของชีวิต”
นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ใครจะทำแทนคุณได้
และนี่ไม่ใช่กระบวนการที่ “เกิดขึ้นเอง” เพราะคุณเสพสาร
มันต้องการเวลา
ต้องการพื้นที่ปลอดภัย
ต้องการคำถามที่ชัดเจน
ต้องการคนรับฟังโดยไม่ตัดสิน
และเหนืออื่นใด—ต้องการความซื่อสัตย์ต่อตนเอง
ในวันที่โลกเปิดประตูให้กับความเข้าใจใหม่ของจิตใจ
ประเทศไทยจะ “กล้าเผชิญ” หรือยังคง “หลบสายตา”?
ในขณะที่โลกตะวันตกเริ่มพูดถึง “ไซคีเดลิก” ด้วยน้ำเสียงของวิทยาศาสตร์
ในฐานะเครื่องมือเพื่อเข้าใจความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์
ประเทศไทยกลับยังคงติดอยู่กับ “ภาพจำเก่า”
ที่มองมันเป็นเพียงสารเสพติด ภาพหลอน หรือพิธีกรรมของคนลุ่มหลง
ทั้งที่ในความเป็นจริง…
ไซคีเดลิกไม่ใช่ยาวิเศษ
แต่คือ "ประตู" สู่ห้องภายในจิตใจที่เรามักไม่เคยกล้าเปิดเข้าไปดู
🔥 ความกลัว ความไม่รู้ และมายาคติ
ยังคงเป็นกำแพงสำคัญที่ขวางไม่ให้สังคมไทยกล้าเดินหน้า
แม้ว่า "รากวัฒนธรรม" ของเราเองจะเต็มไปด้วยภูมิปัญญาแห่งการ "ภาวนา"
แห่งการเยียวยาภายใน
แห่งการใช้สมาธิ สติ และความรักต่อตัวเองเป็นเครื่องมือบำบัด
แต่เรากลับยอมทิ้งสิ่งเหล่านี้… เพื่อวิธีการแบบรีบร้อน ราคาถูก และไม่ฟังหัวใจมนุษย์
🔬 ในมุมของวิทยาศาสตร์
ไซคีเดลิกมีผลต่อสมองส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการอัตตา (Default Mode Network)
การปิดการทำงานของระบบนี้ ทำให้เกิดความ “หลุด” จากกรอบคิดเดิม
เกิด Neuroplasticity หรือความยืดหยุ่นของสมองที่พาเรา “เรียนรู้ใหม่”
สิ่งที่เคยกลัว... เริ่มเข้าใจ
สิ่งที่เคยเกลียด... เริ่มอภัย
สิ่งที่เคยแบก... เริ่มวาง
🧠 ในมุมของจิตวิทยา
มันช่วยเปิดประตูสู่จิตใต้สำนึก
ทำให้เรามองเห็นความทรงจำ บาดแผล และกลไกการป้องกันตัวที่ฝังแน่น
ซึ่งในหลายกรณี… มันคือ “รากแท้ของความทุกข์” ที่จิตบำบัดตามปกติอาจใช้เวลานานกว่าจะไปถึง
📿 ในมุมของจิตวิญญาณ
ไซคีเดลิกไม่ได้พาเราหลุดจากโลก
แต่มันพาเรากลับมาเจอ “เสียงภายใน”
เสียงที่เคยอยู่กับเราตอนเด็ก เสียงที่เตือนเราเวลาทำร้ายตัวเอง
เสียงที่บอกว่า “ความรักไม่ได้มาจากคนอื่น แต่เริ่มจากการเข้าใจตัวเอง”
ไม่ใช่เพื่อ “ลอกสูตรตะวันตก”
แต่เพื่อ “เชื่อมโยงภูมิปัญญาไทยกับองค์ความรู้สมัยใหม่”
เพื่อสร้างแนวทางการเยียวยาที่ ไม่ทิ้งจิตวิญญาณ
และไม่ลดทอนมนุษย์ให้กลายเป็นเพียงเคมีหรือโรคที่ต้องรักษาด้วยยา
บางคนเริ่มถามว่า
ถ้าสมองฟื้นตัวได้... แล้วใจล่ะ?
ถ้าเรายอมเปลี่ยนทัศนคติต่อความตาย ความเศร้า และความว่างเปล่าได้
เราจะยังต้องใช้ยาตลอดชีวิตอยู่หรือไม่?
เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องใช้ไซคีเดลิก
เราไม่ได้ชวนให้ใครละเมิดกฎหมาย
และเราไม่ได้เชิดชูมันเป็นคำตอบเดียวของการเยียวยา
แต่เราชวนคุณ…
เพราะถ้าเราไม่กล้าถาม
เราก็อาจไม่มีวันได้ยินคำตอบ
เราไม่ได้ขายเห็ด
เราไม่ใช่หมอ
เราไม่ใช่คลินิก
แต่เราเป็น “พื้นที่” สำหรับคนที่อยากกลับมา “ฟังเสียงหัวใจตัวเองอีกครั้ง”
ที่นี่...
เราไม่สอนให้คุณหนี
เราอยู่กับคุณตอนคุณอยากกลับมา
กลับมาดูแลแผลเดิม
กลับมารู้จักความรู้สึกที่เคยกลัว
กลับมารับฟังเสียงเงียบ ๆ ที่บอกว่า
“ฉันยังรักตัวเองได้อีกครั้ง”
เราเชื่อว่า
การเยียวยาไม่ใช่เวทมนตร์
แต่มันคือ “ศิลปะของการกลับมาเป็นมนุษย์”
อย่างเต็มตัว
โดยไม่ทิ้งวิทยาศาสตร์
ไม่ละเลยจิตวิญญาณ
และไม่ปฏิเสธบาดแผลในหัวใจ
#กล้าตั้งคำถาม
#เยียวยาไม่ใช่แค่จ่ายยา
#PsychedelicThailand
#TripsitterThailand
#มนุษย์ต้องการความเข้าใจ ไม่ใช่แค่คำสั่งจากระบบ
ถ้าคุณกำลังตั้งคำถามเหล่านี้อยู่
เราอยากชวนคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนานี้ด้วยกัน
เพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคม… เริ่มจากการฟังเสียงข้างในของแต่ละคน
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า Psilocybin มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้น Neuroplasticity หรือความสามารถของสมองในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทใหม่ๆ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการฟื้นฟูและปรับปรุงภาวะทางจิตใจ การศึกษาทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลองพบว่า Psilocybin เพิ่มความซับซ้อนของ dendritic spines และเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างเครือข่ายสมองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Default Mode Network (DMN) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอัตตาและการรับรู้ตนเอง
แหล่งอ้างอิงสำคัญ:
การวิจัยทางคลินิกชี้ชัดว่า การใช้ไซโลไซบินร่วมกับการบำบัดเชิงจิตวิทยาช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่ดื้อยาและรักษายาก นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาความรู้เท่าทันตนเอง (self-awareness) และเปิดประตูสู่การประมวลผลทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง งานวิจัยในโครงการ EMBRACE Trial และงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร MDPI ชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ทางบวกและความยั่งยืนของการรักษา
องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้มอบสถานะ “Breakthrough Therapy” ให้กับ psilocybin ในปี 2019 เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาเป็นยารักษาภาวะซึมเศร้าในระดับรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
แหล่งอ้างอิงสำคัญ:
การบูรณาการประสบการณ์ไซคีเดลิก (Psychedelic Integration) ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางจิตใจ แต่ยังเป็นการเดินทางทางปรัชญาที่นำไปสู่การตั้งคำถามกับ “อัตตา” และ “ความเป็นจริง” ที่มนุษย์รับรู้ การผสมผสานภูมิปัญญาโบราณและแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับการตื่นรู้และการกลับสู่ตัวตนแท้จริงนี้ เป็นหัวใจของกระบวนการเยียวยาที่สมบูรณ์
แหล่งอ้างอิงสำคัญ:
ในปี 2024 กระทรวงสาธารณสุขไทยได้จัดให้สารไซโลไซบินอยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภท 5 สำหรับการใช้ทางการแพทย์และงานวิจัย ส่งผลให้เกิดการเปิดทางสำหรับการศึกษาทางคลินิกและการพัฒนากระบวนการบำบัดด้วยไซคีเดลิกในประเทศไทย นักวิจัยไทยและองค์กรในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับบริบทและวัฒนธรรมไทย
แหล่งอ้างอิงสำคัญ: